ทำความรู้จักกับกลยุทธ์การเทรด Breakout เทคนิควิเคราะห์กราฟที่นักเทรดต้องรู้

Breakout ในโลกของการเทรดคือการเคลื่อนไหวของราคาที่ทะลุแนวรับหรือแนวต้านที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญที่อาจส่งสัญญาณการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มตลาดอย่างมีนัยสำคัญ และอาจนำไปสู่ความผันผวนของราคาที่รุนแรงขึ้น Breakout ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับเทรดเดอร์ เนื่องจากอาจบ่งบอกถึงการเริ่มต้นของแนวโน้มใหม่ หากราคาทะลุแนวต้าน อาจเป็นสัญญาณของขาขึ้น (Uptrend) แต่หากราคาหลุดแนวรับ อาจเป็นสัญญาณของขาลง (Downtrend)
อย่างไรก็ตาม การเทรดแบบ Breakout ก็มีความเสี่ยงจาก False Breakout ที่อาจทำให้ติดกับดัก บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักหลักการของกลยุทธ์ Breakout วิธีใช้งาน และเทคนิคป้องกันความเสี่ยง เพื่อให้คุณนำไปปรับใช้ในการเทรดได้อย่างมั่นใจ!
Breakout คืออะไร?

Breakout หมายถึงการที่ราคาของสินทรัพย์เคลื่อนที่ทะลุระดับแนวต้านขึ้นไป หรือทะลุระดับแนวรับลงมา ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงแนวโน้มที่ราคาจะเคลื่อนที่ไปในทิศทางของการทะลุนั้น ๆ ตัวอย่างเช่น หากราคาทะลุขึ้นไปจากรูปแบบกราฟ อาจเป็นสัญญาณว่าราคาจะมีแนวโน้มขาขึ้นต่อไป หากการ Breakout เกิดขึ้นพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่สูงกว่าปกติ จะยิ่งแสดงถึงความแข็งแกร่งของแนวโน้ม ซึ่งหมายความว่าราคามีโอกาสสูงที่จะเคลื่อนไหวไปในทิศทางนั้นอย่างต่อเนื่อง
กลยุทธ์ Breakout เป็นวิธีการเข้าเทรดเมื่อราคาสามารถทะลุกรอบแนวรับหรือแนวต้านที่เคยมีอยู่ นักเทรดจะมองหาโมเมนตัมที่แข็งแกร่ง และการทะลุกรอบถือเป็นสัญญาณในการเข้าเทรดเพื่อทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของตลาดที่ตามมา
วิธีการเทรดแบบ Breakout
Breakout เกิดขึ้นเมื่อราคาทะลุระดับราคาสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นแนวรับหรือแนวต้าน ซึ่งเคยเป็นอุปสรรคของราคาในอดีต ระดับเหล่านี้ถูกระบุผ่านการวิเคราะห์ทางเทคนิค และมักเป็นจุดที่นักลงทุนเข้าซื้อหรือขายในปริมาณมาก
แนวรับ (Support Levels): จุดที่ราคามักหยุดตกและอาจกลับตัวขึ้น หากราคาทะลุแนวรับลงไป เรียกว่า Bearish Breakout ซึ่งบ่งชี้แนวโน้มขาลงต่อเนื่อง
แนวต้าน (Resistance Levels): จุดที่ราคามักหยุดขึ้นและอาจกลับตัวลง หากราคาทะลุแนวต้านขึ้นไป เรียกว่า Bullish Breakout ซึ่งส่งสัญญาณแนวโน้มขาขึ้นต่อไป
Breakout มีความสำคัญเพราะสามารถบ่งบอกถึงการเริ่มต้นของแนวโน้มใหม่ เมื่อราคาทะลุแนวรับหรือแนวต้าน หมายถึงการเปลี่ยนแปลงของ Market Sentiment ซึ่งนักเทรดสามารถใช้ประโยชน์จากการเคลื่อนไหวนี้เพื่อทำกำไร อย่างไรก็ตาม ควรยืนยันการเกิด Breakout ด้วยปริมาณการซื้อขาย (Volume) และอินดิเคเตอร์ทางเทคนิคอื่น ๆ เพื่อหลีกเลี่ยง False Breakout ซึ่งเป็นภาวะที่ราคาทะลุระดับสำคัญชั่วคราวแล้วกลับทิศทางในภายหลัง
ขั้นตอนการเทรดแบบ Breakout อย่างมีประสิทธิภาพ
1. คัดเลือกสินทรัพย์ที่เหมาะสม
เมื่อต้องการเทรด Breakout การพิจารณาระดับแนวรับและแนวต้านของหุ้นเป็นสิ่งสำคัญ ยิ่งราคาหุ้นเคยแตะระดับเหล่านี้หลายครั้งมากเท่าใด แนวรับและแนวต้านก็ยิ่งมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น และมีความสำคัญมากขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้ หากระดับแนวรับและแนวต้านคงอยู่เป็นระยะเวลานาน โอกาสที่ราคาจะเคลื่อนตัวแรงเมื่อเกิดเบรกเอาต์ก็จะยิ่งสูงขึ้น

ช่วงที่ราคากำลังสะสมพลังเพื่อเลือกทิศทางใหม่ มักจะเกิดรูปแบบราคาต่างๆ บนกราฟ เช่น Channel, Triangle และ Flag ซึ่งเป็นรูปแบบที่มีประโยชน์ในการคัดเลือกหุ้นสำหรับการเทรด นอกจากการพิจารณารูปแบบแล้ว ความสม่ำเสมอและระยะเวลาที่ราคาหุ้นเคลื่อนไหวภายในแนวรับหรือแนวต้านก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ควรคำนึงถึงเมื่อต้องการหาหุ้นที่มีโอกาสเทรดได้ดี
2. จุดเข้าเทรด (Entry Points)
เมื่อพบสินทรัพย์ที่เหมาะสมสำหรับการเทรดแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการวางแผนการเทรด โดยจุดเข้าเทรดเป็นปัจจัยที่พิจารณาได้ง่ายที่สุด ในกรณีของการเทรด Breakout จุดเข้ามักจะชัดเจน หากราคาปิดเหนือแนวต้าน นักลงทุนจะเปิดสถานะซื้อ (Bullish Position) ในทางกลับกัน หากราคาปิดต่ำกว่าแนวรับ นักลงทุนจะเปิดสถานะขาย (Bearish Position)
เพื่อแยกความแตกต่างระหว่าง Breakout จริง และเบรก False Breakout ควรรอการยืนยัน ตัวอย่างเช่น False Breakout มักเกิดขึ้นเมื่อราคาเปิดเหนือแนวต้านหรือใต้แนวรับ แต่ภายในวันเดียวกัน ราคากลับมาเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบเดิม หากนักลงทุนตัดสินใจเร็วเกินไปหรือไม่ได้รอการยืนยัน ก็ไม่มีการรับประกันว่าราคาจะเคลื่อนตัวไปในทิศทางใหม่ต่อไป นักลงทุนหลายคนใช้ปริมาณการซื้อขายที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยเป็นสัญญาณยืนยัน หรือรอจนถึงช่วงท้ายของรอบการซื้อขายเพื่อดูว่าราคายังคงยืนเหนือระดับที่ Breakout หรือไม่
3. การวางแผนจุดออก (Planning Exits)
การกำหนดจุดออกล่วงหน้าเป็นองค์ประกอบสำคัญของกลยุทธ์การเทรดที่ประสบความสำเร็จ สำหรับการเทรด Breakout มีแผนการออกจากสถานะอยู่ 3 แบบที่ควรจัดเตรียมก่อนเปิดสถานะ
- จุดออกเมื่อมีกำไร
เมื่อกำหนดเป้าหมายราคาขายทำกำไร (Take Profit) ควรพิจารณาพฤติกรรมราคาล่าสุดของหุ้นเพื่อตั้งเป้าหมายที่สมเหตุสมผล หากใช้รูปแบบราคาช่วยวิเคราะห์ จะสามารถกำหนดเป้าหมายราคาได้ง่ายขึ้น ตัวอย่างเช่น หากกรอบราคาหรือรูปแบบราคาล่าสุดมีช่วงการเคลื่อนไหว 6 จุด ค่านั้นสามารถใช้เป็นเป้าหมายราคาหลังจากหุ้นเกิด Breakout

อีกวิธีหนึ่งคือคำนวณช่วงการแกว่งตัวของราคาล่าสุด แล้วนำค่ากลางมาใช้เป็นเป้าหมายราคา เช่น หากหุ้นมีช่วงแกว่งตัวเฉลี่ย 4 จุดจากรอบที่ผ่านๆ มา ค่านี้ก็อาจเป็นเป้าหมายที่สมเหตุสมผล
เมื่อราคาถึงเป้าหมาย นักลงทุนสามารถปิดสถานะทั้งหมด ปิดบางส่วนเพื่อล็อกกำไร และปล่อยที่เหลือให้วิ่งต่อ หรือปรับจุดหยุดขาดทุน (Stop-Loss) ขึ้นมาเพื่อรักษากำไรที่ได้มา
- จุดออกเมื่อขาดทุน
การรู้ว่าควรออกจากการเทรดเมื่อใดเป็นสิ่งสำคัญ โดยกลยุทธ์ Breakout ช่วยให้ระบุจุดผิดพลาดได้ค่อนข้างชัดเจน หลักการคือ แนวต้านเดิมควรกลายเป็นแนวรับใหม่ และแนวรับเดิมควรกลายเป็นแนวต้านใหม่ หากราคากลับมาต่ำกว่าระดับที่ควรเป็นแนวรับใหม่ หรือสูงกว่าระดับที่ควรเป็นแนวต้านใหม่ แสดงว่าการเทรดล้มเหลว
เมื่อเปิดสถานะแล้ว ควรใช้แนวรับหรือแนวต้านเดิมเป็น “เส้นแบ่งเขต” เพื่อตัดสินใจปิดสถานะที่ขาดทุน หากราคากลับมาหลุดแนวรับหรือต้านเดิม ควรออกจากการเทรดทันที อย่าปล่อยให้ขาดทุนบานปลาย เพราะหากไม่ระวัง อาจสะสมความเสียหายมากขึ้นเรื่อยๆ
ตัวอย่างเช่นแผนภูมิด้านล่าง

หลังจากที่การซื้อขายล้มเหลว สิ่งสำคัญคือต้องออกจากการซื้อขายโดยเร็ว อย่าปล่อยให้การสูญเสียเกิดขึ้นมากเกินไป หากคุณไม่ระมัดระวัง การสูญเสียอาจสะสมได้
- การกำหนดจุดหยุดขาดทุน (Stop Order)
เมื่อพิจารณาว่าควรตั้งจุดหยุดขาดทุน (Stop-Loss) ที่ตำแหน่งใด ควรใช้แนวรับหรือแนวต้านเดิมที่ราคาพึ่งทะลุผ่านเป็นเกณฑ์ โดยการวางจุดหยุดขาดทุนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมภายในขอบเขตนี้ เป็นวิธีที่ปลอดภัยในการป้องกันความเสี่ยงโดยไม่เปิดโอกาสให้ขาดทุนมากเกินไป
หากตั้งจุดหยุดขาดทุนไว้สูงเกินไป อาจถูกตัดออกจากการเทรดเร็วเกินไป เนื่องจากเป็นเรื่องปกติที่ราคามักจะกลับมาทดสอบระดับแนวรับหรือแนวต้านที่เพิ่งทะลุผ่าน (Retest) ก่อนที่จะเคลื่อนที่ไปในทิศทางใหม่
เมื่อพิจารณากราฟข้างต้น จะเห็นว่าราคามีการสะสมตัวก่อนเกิดเบรกเอาต์ จากนั้นเกิดการทดสอบแนวต้านเดิม (Retest) และสุดท้ายราคาก็ไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ กระบวนการนี้เป็นไปตามหลักการค่อนข้างชัดเจน
ดังนั้น เมื่อตั้งจุดหยุดขาดทุน หากตั้งไว้เหนือแนวต้านเดิม ราคาจะไม่มีโอกาสได้ทดสอบระดับดังกล่าว และนักลงทุนอาจถูกตัดออกจากการเทรดก่อนเวลาอันควร แต่หากตั้งจุดหยุดขาดทุนต่ำกว่าระดับนี้ จะช่วยให้ราคามีโอกาสทดสอบแนวต้านเดิม และสามารถรักษาการเทรดไว้ได้ในกรณีที่ราคายังคงอยู่ในแนวโน้มเดิม
การระบุ Breakout
การสามารถแยกแยะระหว่าง การทะลุที่แท้จริง (Real Breakout) กับ การทะลุที่หลอกลวง (False Breakout) จะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและเพิ่มผลตอบแทนจากเงินทุนของคุณได้ นี่คือปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณาเพื่อยืนยันว่าการทะลุแนวรับแนวต้านนั้นเป็นของจริง
1. การวิเคราะห์ทางเทคนิค
นักเทรดสามารถใช้ กราฟเทคนิคขั้นสูง และ เครื่องมือวิเคราะห์ต่างๆ เพื่อช่วยระบุหุ้นที่มีแนวโน้มจะเกิดการทะลุแนวรับแนวต้านที่แข็งแกร่ง นอกจากนี้ เครื่องมือเหล่านี้ยังช่วยกำหนดกลยุทธ์การซื้อขายที่มีประสิทธิภาพ
อินดิเคเตอร์ที่สามารถใช้วัดความแข็งแกร่งของการทะลุแนวรับแนวต้าน ได้แก่:
- เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) – ใช้ติดตามแนวโน้มและช่วยระบุแนวรับแนวต้านที่เปลี่ยนแปลง
- RSI (Relative Strength Index) – วัดระดับแรงซื้อแรงขายเพื่อดูว่าการทะลุมีโอกาสไปต่อหรือไม่
- MACD (Moving Average Convergence Divergence) – ใช้วัดโมเมนตัมของราคาและยืนยันแนวโน้ม
2. ปริมาณการซื้อขาย (Volume)
ปริมาณการซื้อขายเป็นปัจจัยสำคัญในการระบุการทะลุที่แท้จริง โดยปกติแล้ว การทะลุแนวรับแนวต้านที่แข็งแกร่งควรมาพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่สูงกว่าปกติ ในวันเกิดการทะลุ หากมีวอลุ่มสูง โอกาสที่ราคาจะเคลื่อนที่ต่อไปในทิศทางของการทะลุก็จะเพิ่มขึ้น
3. ช่วงเวลา (Time Period)
การใช้ช่วงเวลาที่ยาวขึ้นจะช่วยให้มองเห็นแนวโน้มที่ชัดเจนมากขึ้น หลักการทั่วไปคือนักเทรดมักใช้ ช่วงเวลา 21 วัน เพื่อรอให้หุ้นแสดงโมเมนตัมที่แท้จริงก่อนตัดสินใจลงทุน
ประเภทของ Breakout
นักเทรดใช้รูปแบบเบรกเอาต์หลายประเภทเพื่อค้นหาโอกาสในการซื้อขายในตลาดการเงิน นี่คือรูปแบบที่พบได้บ่อยที่สุด:
1. Horizontal Breakouts
เกิดขึ้นเมื่อราคาทะลุแนวรับหรือแนวต้านแนวนอนที่สำคัญ โดยมักพบในสินทรัพย์ที่เคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบเป็นเวลานาน ซึ่งแสดงถึงสมดุลระหว่างแรงซื้อและแรงขาย
2. Trendline Breakouts
เกิดขึ้นเมื่อราคาทะลุเส้นแนวโน้มที่ลากผ่านจุดสูงต่ำที่สูงขึ้น (Higher Lows) หรือจุดสูงสุดที่ต่ำลง (Lower Highs) ซึ่งอาจบ่งบอกถึงการกลับตัวของแนวโน้มหรือการต่อเนื่องของแนวโน้มเดิม
3. Triangle Breakouts
เกิดขึ้นเมื่อราคาทะลุขอบเขตด้านบนหรือล่างของรูปแบบสามเหลี่ยม ซึ่งอาจเป็น Ascending Triangle, Descending Triangle, หรือ Symmetrical Triangle การเบรกเอาต์จากรูปแบบนี้อาจบ่งบอกถึงการกลับตัวหรือการต่อเนื่องของแนวโน้ม
4. Head and Shoulders
เกิดขึ้นเมื่อราคาทะลุเส้น neckline ของรูปแบบ Head and Shoulders ซึ่งประกอบด้วยยอด 3 จุด โดยจุดกลางสูงสุดเป็น “ศีรษะ” และจุดสองข้างที่ต่ำกว่าเป็น “ไหล่” รูปแบบนี้มักบ่งบอกถึงการกลับตัวของแนวโน้ม
5. Flag and Pennant
เกิดขึ้นเมื่อราคาทะลุออกจากรูปแบบ Flag หรือ Pennant ซึ่งเป็นช่วงของการสะสมตัว (Consolidation) หลังจากเกิดแนวโน้มที่แข็งแกร่ง หากราคาเบรกเอาต์ออกไปในทิศทางเดียวกับแนวโน้มก่อนหน้า มักเป็นสัญญาณของการเคลื่อนไหวต่อไปในทิศทางเดิม
ตัวอย่าง
Breakout สามารถสร้างโอกาสในการทำกำไรได้ทั้งในตลาดขาขึ้นและขาลง ตัวอย่างเช่น:
ตัวอย่าง Bullish Breakout

ดูกราฟ EUR/USD ต่อไปนี้ ซึ่งราคาทะลุขึ้นเหนือระดับ 1.0200 หลังจากที่เคยเด้งกลับจากแนวต้าน นักเทรดจะมองว่าเป็น Bullish Breakout และอาจเปิดสถานะซื้อ (Long Position) คาดว่าคู่เงินนี้จะรักษาโมเมนตัมขาขึ้นได้ การ Breakout นี้เป็นโอกาสในการซื้อเมื่อความรู้สึกของตลาดเปลี่ยนไปเป็นบวกและแนวโน้มขาขึ้นเกิดขึ้น
ข้อดีของกลยุทธ์ Breakout Trading Strategy
โอกาสในการทำกำไรสูง – การเทรดแบบ Breakout สามารถทำกำไรได้ดี เนื่องจากเมื่อราคาทะลุแนวรับหรือแนวต้านสำคัญ มักเกิดการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ซึ่งช่วยให้เทรดเดอร์ทำกำไรจากโมเมนตัมของตลาด
จุดเข้าและออกที่ชัดเจน – กลยุทธ์นี้ช่วยลดอารมณ์ในการเทรด เพราะมี จุดเข้าซื้อและจุดออกจากตลาดที่เป็นระบบชัดเจน ทั้งสำหรับการทำกำไรและการยอมรับขาดทุน ทำให้ไม่ต้องตัดสินใจแบบไม่มีหลักการ
สามารถใช้ได้กับหลายตลาด – กลยุทธ์นี้สามารถนำไปใช้กับตลาดการเงินได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น หุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ และฟอเร็กซ์ ซึ่งช่วยให้เทรดเดอร์มีโอกาสทำกำไรจากสินทรัพย์ที่หลากหลาย
เหมาะกับคนที่ไม่มีเวลาติดหน้าจอทั้งวัน – เทรดเดอร์สามารถวิเคราะห์ตลาดล่วงหน้า และ ตั้งคำสั่งซื้อขายอัตโนมัติ ได้ ทำให้ไม่ต้องเฝ้าติดตามตลาดตลอดเวลา ลดความเครียดและเพิ่มความสะดวกในการเทรด
สามารถบริหารความเสี่ยงได้ดี – เทรดเดอร์สามารถใช้ เครื่องมือจัดการความเสี่ยง เช่น Stop-Loss Orders เพื่อลดโอกาสขาดทุนจากการทะลุแนวรับแนวต้านที่ผิดพลาด (False Breakout) และช่วยให้สามารถควบคุมความเสี่ยงโดยรวมได้
ข้อจำกัดของกลยุทธ์ Breakout Trading Strategy
ต้องตัดสินใจเร็ว – ตลาดเคลื่อนไหวรวดเร็วมากเมื่อตลาดเกิดการ Breakout ทำให้เทรดเดอร์ต้อง ตัดสินใจอย่างฉับไว ซึ่งสร้างแรงกดดันสูงและอาจไม่เหมาะสำหรับทุกคน
ต้องใช้ความอดทน – แม้ว่าจะต้องตัดสินใจเร็ว แต่ในขณะเดียวกัน ต้องรอให้เกิดการทะลุแนวรับแนวต้านที่แท้จริง พร้อมกับยืนยันแนวโน้มของราคา ซึ่งบางครั้งอาจเสียเวลาวิเคราะห์โดยที่ไม่ได้เปิดออเดอร์เลย
มีโอกาสเกิด False Breakout (การทะลุหลอก) – ราคาของสินทรัพย์อาจทะลุออกจากช่วงสะสมแล้ว กลับตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดการขาดทุน เทรดเดอร์สามารถลดความเสี่ยงนี้ได้โดยใช้เครื่องมือยืนยันแนวโน้มเพิ่มเติม แต่นั่นอาจทำให้พลาดโอกาสเข้าทำกำไรไป
ตลาดมีความผันผวนสูง – การเทรด Breakout มักเกิดขึ้นในตลาดที่มีความผันผวน ซึ่งหมายความว่า แม้จะทำทุกอย่างถูกต้อง ก็อาจขาดทุนได้ เพราะไม่มีกลยุทธ์ใดที่รับประกันผลลัพธ์ 100%
สรุป
การเทรดแบบ Breakout เป็นวิธีที่มีพลังในการทำกำไรจากการเคลื่อนไหวราคาที่สำคัญในตลาด โดยการเรียนรู้กลยุทธ์ต่างๆ เช่น การใช้เส้นแนวโน้ม, แนวรับ/แนวต้าน, และการ Breakout ที่ใช้ปริมาณการซื้อขาย นักเทรดสามารถวางตำแหน่งเพื่อทำกำไรจากแนวโน้มใหม่ การจัดการความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพและวินัยในการเทรดเป็นสิ่งสำคัญสำหรับความสำเร็จในระยะยาว การเรียนรู้และปรับปรุงกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง การเทรดแบบ Breakout สามารถกลายเป็นวิธีที่ให้ผลตอบแทนสูงในตลาดการเงิน
การซื้อขายอนุพันธ์มีความเสี่ยงสูงและอาจไม่เหมาะสําหรับทุกคน