ทำความรู้จัก “ตลาดกระทิง (Bull Market) vs ตลาดหมี (Bear Market)” และกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมกับตลาด
ในโลกของการลงทุน คำว่า “กระทิง” และ “หมี” มักใช้เพื่ออ้างถึงสภาวะตลาด สิ่งเหล่านี้อธิบายว่าตลาดหุ้นโดยทั่วไปเป็นอย่างไร โดยหมายถึงมูลค่าจะแข็งค่าขึ้นหรือลดลงก็ตาม
ในฐานะนักลงทุน ทิศทางของตลาดเป็นสิ่งสำคัญที่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อพอร์ตโฟลิโอ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องเข้าใจว่าแต่ละสภาวะตลาดจะส่งผลต่อการลงทุนอย่างไร
ตลาดกระทิง (Bull Market)
ตลาดกระทิง หมายถึง สถานการณ์ที่ตลาดการเงินกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น โดยราคาของสินทรัพย์ต่าง ๆ เพิ่มขึ้นในระยะยาว มักจะสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนและสภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น
ลักษณะของตลาดกระทิง
-ราคาของสินทรัพย์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่านักลงทุนมีความมั่นใจในตลาด
-นักลงทุนมีความเชื่อมั่นและมั่นใจในการลงทุนมากขึ้น คาดหวังว่าราคาจะยังคงเพิ่มขึ้นต่อไป
-มักเกิดขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังเติบโต การจ้างงานเพิ่มขึ้น รายได้ประชาชนสูงขึ้น และการใช้จ่ายเพิ่มขึ้น
-บริษัทต่าง ๆ มักมีผลประกอบการที่ดีขึ้น ทำให้ราคาหุ้นของบริษัทเหล่านั้นเพิ่มขึ้น
-มีกิจกรรมการลงทุนที่คึกคัก นักลงทุนมากมายเข้ามาในตลาดเพื่อซื้อขายสินทรัพย์ ซึ่งทำให้ปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้น
ตลาดหมี (Bear Market)
ตลาดหมี หมายถึง สถานการณ์ที่ตลาดการเงินกำลังอยู่ในช่วงขาลง โดยราคาของสินทรัพย์ต่าง ๆ ลดลงในระยะยาว มักจะสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ลดลงและสภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอ
ลักษณะของตลาดหมี
-ราคาของสินทรัพย์ลดลงอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณว่านักลงทุนไม่มีความมั่นใจในตลาด
-นักลงทุนมีความกลัวและไม่มีความมั่นใจในการลงทุน คาดหวังว่าราคาจะยังคงลดลงต่อไป
-มักเกิดขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังอ่อนแอ การจ้างงานลดลง รายได้ประชาชนลดลง และการใช้จ่ายลดลง
-บริษัทต่าง ๆ มักมีผลประกอบการที่แย่ลง ทำให้ราคาหุ้นของบริษัทเหล่านั้นลดลง
-มีกิจกรรมการลงทุนที่ซบเซา นักลงทุนมากมายหลีกเลี่ยงการซื้อขายสินทรัพย์ ซึ่งทำให้ปริมาณการซื้อขายลดลง
ตลาดกระทิง vs. ตลาดหมี: ความแตกต่างที่สำคัญ
ตลาดกระทิงเป็นตลาดที่กำลังเติบโตและมีสภาวะเศรษฐกิจที่เอื้อต่อการลงทุน โดยทั่วไปแล้ว ตลาดกระทิงจะมีราคาสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและเศรษฐกิจมีความแข็งแกร่ง ซึ่งมีความเชื่อมั่นจากนักลงทุนว่าสภาวะนี้จะยังคงดำเนินต่อไปในระยะยาว นอกจากนี้ ตลาดกระทิงยังมีลักษณะของการมีการจ้างงานสูงและบริษัทต่างๆ มีกำไรดีขึ้น
ในทางตรงกันข้าม ตลาดหมีเป็นตลาดที่กำลังถดถอยและมีสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดี โดยปกติแล้ว ตลาดหมีจะต้องมีราคาสินทรัพย์ลดลงอย่างน้อย 20% จากจุดสูงสุดล่าสุดจึงจะถือว่าเป็นตลาดหมีแท้จริง ในตลาดหมี ราคาหุ้นจะลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนักลงทุนเชื่อว่าราคาจะลดลงต่อไป ทำให้เกิดแนวโน้มขาลงที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวม ในช่วงตลาดหมี เศรษฐกิจมักจะชะลอตัวและอัตราการว่างงานจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทต่างๆ เริ่มปลดพนักงาน
สรุปความแตกต่างที่สำคัญ
ตลาดกระทิง (Bull Market)
-ตลาดที่กำลังเติบโต
-สภาวะเศรษฐกิจเอื้อต่อการลงทุน
-ราคาสินทรัพย์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
-นักลงทุนมีความเชื่อมั่นในตลาด
-ราคาสินทรัพย์คงที่ หรือเพิ่มขึ้น 20%
-เศรษฐกิจแข็งแกร่งและการจ้างงานสูง
-ผลประกอบการของบริษัทดีขึ้น
ตลาดหมี (Bear Market)
-ตลาดที่กำลังถดถอย
-สภาวะเศรษฐกิจไม่ดี
-ราคาสินทรัพย์ลดลงอย่างน้อย 20% จากจุดสูงสุด
-นักลงทุนมีความกังวลในตลาด
-เศรษฐกิจชะลอตัวและการว่างงานเพิ่มขึ้น
-ผลประกอบการของบริษัทแย่ลง
กลยุทธ์การในตลาดกระทิงและตลาดหมี
นักลงทุนส่วนใหญ่ไม่สามารถทำนายได้ว่าตลาดกระทิงหรือตลาดหมีจะเริ่มต้นเมื่อใดหรือจะยาวนานแค่ไหน นอกจากเกิดขึ้นสมบูรณ์แล้ว
การลงทุนระยะยาวเพื่อให้เหมาะสมกับตลาดกระทิงหรือตลาดหมี นักลงทุนควรมีการจัดสรรสินทรัพย์เพื่อป้องกันความเสี่ยง ระยะเวลาการลงทุน และเป้าหมาย นักลงทุนควรปรับสมดุลของพอร์ตโฟลิโอเป็นระยะๆ และพัฒนากลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมกับสถานการณ์
กลยุทธ์การลงทุนในตลาดกระทิง
โดยทั่วไป เมื่อเห็นสัญญาณว่าเป็นการเริ่มต้นของตลาดกระทิง นักลงทุนอาจซื้อหุ้น กองทุนหุ้น และ ETF เมื่อตลาดกระทิงเพิ่มขึ้น นักลงทุนอาจพิจารณาขายหุ้นบางส่วน หรือดำเนินการปรับสมดุลพอร์ตโฟลิโอ
ความเสี่ยงที่เป็นไปได้สำหรับนักลงทุนในตลาดกระทิงคือการลังเลที่จะขายและทำกำไร โดยเฉพาะในตลาดกระทิงที่ยาวนาน นักลงทุนอาจลืมความเจ็บปวดที่เคยประสบในตลาดหมีครั้งก่อน และรู้สึกว่าตลาดกระทิงจะไม่สิ้นสุด นี่ถือเป็นความเสี่ยงใหญ่ที่น่ากลัวที่สุด
นักลงทุนควรตระหนักว่าเป็นไปได้ยากที่จะขายหุ้นที่จุดสูงสุดของตลาดได้ ยกเว้นจะเป็นการ “โชคดี” ดังนั้น การมีวินัยในการลงทุนที่วางแผนไว้ล่วงหน้าจึงสำคัญมากกว่าการถือครองหุ้นไว้นานๆ เพราะการทำเช่นนั้นบ่อยครั้งจะทำให้พลาดจุดสูงสุดของตลาดและอาจขายในราคาขาดทุน
สรุปวิธีการลงทุนในตลาดกระทิง
-พยายามซื้อหุ้นตั้งแต่ช่วงต้นของการเพิ่มขึ้นของราคา หากทำได้ เพื่อที่จะได้ผลประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของราคาอย่างเต็มที่
-ขายหุ้นเมื่อราคาขึ้นไปถึงจุดสูงสุดหรือใกล้เคียง เพื่อทำกำไรสูงสุด
-ในช่วงตลาดกระทิง นักลงทุนสามารถลงทุนในหุ้นได้อย่างมั่นใจ เนื่องจากความเสี่ยงที่จะขาดทุนมักจะน้อยและเป็นเพียงชั่วคราว
-เพิ่มการลงทุนในหุ้นหรือสินทรัพย์ที่มีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไร
กลยุทธ์การลงทุนในตลาดหมี
เมื่อนักลงทุนเริ่มรู้สึกถึงการมาถึงของตลาดหมี อาจเป็นเวลาที่ดีในการซื้อหุ้น กองทุนหุ้น และ ETF ในราคาที่ต่ำลง ขึ้นอยู่กับความลึกและความกว้างของตลาดหมี อาจมีโอกาสในการซื้อสินทรัพย์ที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าจริง
แม้ว่าการซื้อหุ้นที่ราคาลดลงอาจเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลในตลาดหมี แต่เป็นไปได้ยากที่นักลงทุนส่วนใหญ่จะสามารถทำนายจุดต่ำสุดของตลาดได้ นักลงทุนที่ซื้อหุ้นหรือสินทรัพย์อื่นๆ ในช่วงตลาดหมีต้องเตรียมพร้อมรับการที่ราคาของสิ่งที่ถือครองอาจลดลงต่อไปอีกก่อนที่จะถึงจุดต่ำสุด นักลงทุนควรมีเบาะรองรับในช่วงตลาดหมีที่ผันผวน เพื่อไม่ให้ต้องขายสินทรัพย์ในราคาขาดทุน
สรุปวิธีการลงทุนในตลาดหมี
-ในช่วงที่ราคาหุ้นลดลงต่อเนื่อง โอกาสที่จะขาดทุนมีมากขึ้น จึงควรระมัดระวังในการลงทุนในหุ้น
-หันมาลงทุนในตราสารหนี้หรือสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า เช่น พันธบัตรรัฐบาล หรือหุ้นของบริษัทที่มีความมั่นคงทางการเงินสูง
-ใช้กลยุทธ์การขายชอร์ตเพื่อทำกำไรจากการลดลงของราคา โดยการยืมหุ้นมาขายและซื้อคืนเมื่อราคาลดลง
-หากไม่ต้องการรับความเสี่ยง ควรรอให้ตลาดแสดงสัญญาณการฟื้นตัวก่อนที่จะกลับมาลงทุนในหุ้นอีกครั้ง
สรุป
ตลาดกระทิงและตลาดหมีมีความแตกต่างกันในแง่ของแนวโน้มราคาสินทรัพย์ ความเชื่อมั่นของนักลงทุน สภาวะเศรษฐกิจ ผลประกอบการของบริษัท และการวิเคราะห์ทางเทคนิค การเข้าใจความแตกต่างระหว่างสองตลาดนี้จะช่วยให้นักลงทุนสามารถปรับกลยุทธ์การลงทุนได้อย่างเหมาะสมตามสถานการณ์ของตลาดในขณะนั้น การใช้กลยุทธ์ที่แตกต่างกันในตลาดกระทิงและตลาดหมี อาจจะช่วยให้นักลงทุนสามารถเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและลดความเสี่ยงในการขาดทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การซื้อขายอนุพันธ์มีความเสี่ยงสูงและอาจไม่เหมาะสําหรับทุกคน