12 กลยุทธ์การเทรด Forex ที่ไม่ควรพลาดในปี 2024 ที่มือใหม่ต้องศึกษา
การเทรดตลาดเงินตราต่างประเทศ หรือ Forex นักเทรดหลาย ๆ ท่านนิยมใช้กลยุทธ์การเทรดหลายแบบเพื่อช่วยในการวิเคราะห์ตลาดและการตัดสินใจในการซื้อขาย การเทรดทางเทคนิคไม่ได้รับรองว่าจะสามารถทำกำไรได้ทุกครั้ง แต่มันสามารถช่วยให้นักลงทุนมีความเข้าใจที่มากขึ้นเกี่ยวกับตลาดและช่วยในการตัดสินใจที่มีเหตุผลมากขึ้น
สำหรับบทความนี้ STARTRADER รวม 12 กลยุทธ์การเทรด Forex ที่เป็นที่นิยมในกลุ่มนักเทรดมาให้ทุกท่านได้ศึกษา เพื่อปูทางความสำเร็จของท่านให้ง่ายยิ่งขึ้นในปี 2024 นี้
1.Trend Trading การซื้อหรือขายตามทิศทางของตลาดที่เป็นแนวโน้ม
เป็นกลยุทธ์การเทรดที่ให้ความสำคัญกับการรับมือกับแนวโน้มหรือการเคลื่อนไหวของตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องในทิศทางเฉพาะ นักเทรดใช้กลยุทธ์นี้โดยการศึกษาแนวโน้มที่แน่นอนและการทำธุรกรรมตามทิศทางนั้นๆ
การทำงานของ Trend Trading
– การเทรดแบบตามแนวโน้มเริ่มต้นด้วยการระบุแนวโน้มที่ชัดเจน โดยใช้เครื่องมือการวิเคราะห์เช่น แผนภาพแท่งเทียน หรือตัวชี้วัดทางเทคนิค เพื่อูแนวโน้มของตลาดว่าเป็นแนวโน้มขึ้น (Uptrend) หรือแนวโน้มลง (Downtrend)
-เมื่อระบุแนวโน้มได้ นักเทรดจะทำการซื้อหรือขายตามทิศทางของแนวโน้มนั้นๆ เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการทำกำไร
-กำหนดระดับการหยุดขาดทุนและการจัดการขนาดตำแหน่งเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น
ข้อดีของการเทรดแบบตามแนวโน้ม
-มีแนวโน้มที่ชัดเจน นักเทรดสามารถมองเห็นโอกาสทำกำไรในระยะยาว
-โดยทั่วไปแล้วการเทรดตามแนวโน้มมักจะมีโอกาสทำกำไรมากกว่าการเทรดในระยะสั้นๆ
ข้อเสียของการเทรดแบบตามแนวโน้ม
-แม้แนวโน้มจะเป็นอย่างชัดเจน แต่อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นที่ไม่คาดคิดทำให้ตลาดเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว
-หากนักเทรดไม่สามารถระบุแนวโน้มอย่างถูกต้อง อาจเสี่ยงต่อการสูญเสียทุนในระยะยาว
2.Range Trading การซื้อขายในช่วงราคาที่มีการเคลื่อนไหวน้อย ๆ ระหว่างราคาสูงสุดและต่ำสุด
กลยุทธ์การซื้อขายที่นักลงทุนทำการซื้อในราคาต่ำและขายในราคาสูงขณะที่ตลาดอยู่ในช่วงที่มีการเคลื่อนไหวอยู่ระหว่างราคาสูงสุดและต่ำสุด การซื้อขายสามารถทำได้หลายครั้งในช่วงราคานั้นๆ เพื่อกำไรจากความแตกต่างของราคาในช่วงนั้น
การทำงานของ Range Trading
-ต้องระบุช่วงราคาที่มีการเคลื่อนไหวน้อยระหว่างราคาสูงสุดและต่ำสุด โดยใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคเช่น แผนภาพแท่งเทียนหรือตัวชี้วัดเพื่อระบุแนวของราคา
-ทำการซื้อที่ราคาต่ำและขายที่ราคาสูงในช่วงราคานั้น ๆ โดยใช้การวิเคราะห์เทคนิคเพื่อระบุจุดเข้าและออกตำแหน่งการเทรด
ข้อดีของ Range Trading
-มีโอกาสทำกำไรในช่วงราคาที่เฉพาะเจาะจง
-เนื่องจากการซื้อขายในช่วงราคาที่มีการเคลื่อนไหวน้อย ๆ นักเทรดมักจะได้รับกำไรที่มีความคงที่
ข้อเสียของ Range Trading
-ตลาดอาจเคลื่อนไหวนอกจากช่วงราคาที่กำหนดไว้ ซึ่งอาจทำให้นักลงทุนต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์หรือหาช่วงราคาใหม่
3.Breakout Trading การซื้อหรือขายเมื่อราคาพุ่งขึ้นหรือตกลงมาพร้อมกับการบางครั้งที่เกิดการแตกขอบเขตของราคา
เป็นกลยุทธ์การซื้อขายที่เน้นการเข้าทำการซื้อหรือขายเมื่อราคาของสินทรัพย์ได้พุ่งขึ้นหรือตกลงมา พร้อมกับการเกิดการแตกขอบเขตของราคาที่ระดับที่สำคัญ เป็นที่นิยมในการวางกลยุทธ์ที่อาจมีโอกาสทำกำไรสูงเมื่อมีการเคลื่อนไหวของราคาอย่างแรง
หลักการทำงานของ Breakout Trading
-นักเทรดจะต้องรอให้ราคาข้ามขอบเขตที่สำคัญ ซึ่งอาจเป็นเส้น Resistance (ค่าที่สูงสุดที่ราคาเคยทำการเคลื่อนไหวและหันกลับลง) หรือ Support (ค่าที่ต่ำที่สุดที่ราคาเคยทำการเคลื่อนไหวและหันกลับขึ้น) และทำการซื้อหรือขายตามทิศทางของการแตกขอบเขตนั้นๆ
-เมื่อราคาข้ามขอบเขตที่สำคัญ นักเทรดจะทำการซื้อหรือขายตามทิศทางของการแตกขอบเขตนั้นๆ เพื่อให้มั่นใจว่าการแตกขอบเขตนั้นเป็นการเคลื่อนไหวที่แรงและน่าเชื่อถือ
ข้อดีของ Breakout Trading
-เมื่อมีการแตกขอบเขตเกิดขึ้น มักจะมีการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว นักลงทุนมักสามารถทำกำไรได้ในระยะเวลาที่สั้นๆ
-Breakout Trading ช่วยให้นักลงทุนมองเห็นแนวโน้มการเคลื่อนไหวที่ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งช่วยในการตัดสินใจในการซื้อขายที่ง่ายขึ้น
ข้อเสียของ Breakout Trading
-มีความเสี่ยงที่การเข้าและออกจากตลาดจะเกิดที่ราคาที่สูงกว่า ซึ่งอาจทำให้ลดความคงที่ของการทำกำไร
4.Swing Trading การถือตำแหน่งในระยะเวลายาวนานขึ้นเพื่อกำไรจากการเคลื่อนไหวของตลาดในระยะยาว
เป็นกลยุทธ์การซื้อขายในตลาดทางการเงินที่นักลงทุนจะถือครองตำแหน่งในระยะเวลายาวนานกว่าแนวโน้มของตลาดที่เปลี่ยนแปลงในช่วงสั้นๆ
หลักการทำงานของ Swing Trading
-ระบุแนวโน้มของตลาด โดยใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิค เช่น แผนภาพแท่งเทียนหรือตัวชี้วัด เพื่อพยายามจับแนวโน้มที่ยาวนานของตลาด
-ทำการเปิดตำแหน่งการซื้อหรือขายเมื่อพบโอกาสที่ดีในการทำกำไรในระยะเวลายาว และปิดตำแหน่งเมื่อตลาดมีการเคลื่อนไหวตรงกับทิศทางที่ได้ทำการวิเคราะห์ไว้
ข้อดีของ Swing Trading
-Swing Trading เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ไม่สามารถติดตามตลาดในทุกๆ ช่วงเวลาและต้องการระยะเวลาที่ยาวนานในการถือตำแหน่ง
-นักลงทุนมีโอกาสทำกำไรมากขึ้นเมื่อถือตำแหน่งในระยะเวลายาว
ข้อเสียของ Swing Trading
-เสี่ยงที่ตลาดอาจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจทำให้นักลงทุนต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์หรือสูญเสียทุน
-การถือตำแหน่งในระยะเวลายาวอาจทำให้เงินทุนถูกกักตัวในตลาดเป็นเวลานานโดยที่ไม่มีการทำกำไร
5.Scalping การทำกำไรจากการซื้อขายที่รวดเร็วในระยะเวลาสั้น ๆ โดยจุดมุ่งหมายคือกำไรจากความแตกต่างในราคาขนาดเล็ก
กลยุทธ์การซื้อขายที่เน้นการทำกำไรจากการเข้า-ออกตลาดอย่างรวดเร็วภายในระยะเวลาสั้น ๆ โดยทั่วไปจะถือตำแหน่งเพียงเพื่อกำไรจากความแตกต่างของราคาในช่วงเวลาสั้น ๆ
หลักการทำงานของ Scalping
-นักเทรด Scalping จะทำการซื้อขายบ่อยครั้งในระยะเวลาสั้น ๆ เน้นทำกำไรจากการซื้อขายที่มีความแตกต่างขนาดเล็ก
-อาศัยการใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิค เช่น กราฟแท่งเทียน และตัวชี้วัดทางเทคนิค เพื่อระบุจุดเข้าและออกตลาดที่เหมาะสม
ข้อดีของ Scalping
-การซื้อขายที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในระยะเวลาสั้น ๆ ช่วยให้นักลงทุนสามารถทำกำไรได้รวดเร็ว
-Scalping สามารถทำการซื้อขายในตลาดที่มีความเคลื่อนไหวขนาดเล็กได้ง่าย และสามารถทำกำไรจากความแตกต่างขนาดเล็กของราคา
ข้อเสียของ Scalping
-การทำการเทรดบ่อยครั้งอาจมีค่าธรรมเนียมการซื้อขายที่มากขึ้น
-ตลาดอาจมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้นักลงทุน Scalping ต้องรีบตัดสินใจและปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ได้อย่างรวดเร็ว
6.Day Trading การเปิดและปิดตำแหน่งในวันเดียวเพื่อกำไรจากความแตกต่างในราคาในเวลาสั้น ๆ
กลยุทธ์การซื้อขายที่ผู้เทรดทำการซื้อและขายสินทรัพย์ในตลาดภายในช่วงเวลาเดียวกัน
หลักการทำงานของ Day Trading
-นักลงทุนที่ทำ Day Trading มักใช้เครื่องมือทางเทคนิค เช่น กราฟแท่งเทียน, Moving Averages, RSI เป็นต้น เพื่อตรวจสอบแนวโน้มและจุดเข้า-ออกตลาดที่เหมาะสม
-เทรดเดอร์จะทำการซื้อขายบ่อยในระยะเวลาเดียวกัน โดยมุ่งเน้นทำกำไรจากความแตกต่างของราคาในช่วงเวลาสั้นๆ
ข้อดีของ Day Trading
-มีโอกาสทำกำไรได้รวดเร็ว โดยไม่ต้องถือตำแหน่งในตลาดในระยะเวลานาน
-การซื้อขายบ่อยครั้งสามารถช่วยให้นักลงทุนมือใหม่เรียนรู้และพัฒนากลยุทธ์ได้เร็วขึ้น
-เทรดเดอร์สามารถปรับกลยุทธ์หรือออกจากตลาดได้ภายในเวลาสั้นๆ ทำให้เกิดความยืดหยุ่น
ข้อเสียของ Day Trading
-มีค่าธรรมเนียมการซื้อขายที่มากขึ้น
-การติดตามตลาดตลอดเวลาอาจทำให้มีความเครียดและต้องใช้เวลาเป็นมาก
7.Position trading การเทรดแบบถือสถานะเทรดเป็นเวลานาน อาจยาวในระดับเดือนหรือถึงปี
เน้นการศึกษาแนวโน้มระยะยาวและการทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของตลาดในระยะยาว
หลักการทำงานของ Position Trading
-Position Trading จะเน้นที่การถือตำแหน่งในตลาดนานๆ เพื่อกำไรจากแนวโน้มราคาที่เปลี่ยนแปลงในระยะยาว
-ต้องศึกษาแนวโน้มราคาในยาวนานรวมถึงปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อตลาดในระยะยาว
ข้อดีของ Position Trading
-เทรดเดอร์สามารถทำกิจกรรมอื่นได้พร้อมกับการเทรด
-จุดเข้า-ออกตลาดที่น้อย เน้นกำไรจากแนวโน้มที่เปลี่ยนแปลงในระยะยาว
ข้อเสียของ Position Trading
-การถือตำแหน่งในตลาดนานอาจทำให้เกิดความเครียดเมื่อตลาดมีการเปลี่ยนแปลงและส่งผลต่อตำแหน่งของคุณ
8. Fibonacci Retracement เครื่องมือทางเทคนิคที่ช่วยระบุระดับการกลับตัวของราคา
การวิเคราะห์กราฟราคาในตลาดการเงิน โดยใช้ระดับเส้นทางของ Fibonacci ช่วยในการระบุแนวต้านและแนวรับของราคา
หลักการทำงานของ Fibonacci Retracement
-เส้น Fibonacci Retracement จะใช้ระดับสัดส่วนเฉพาะของ Fibonacci (เช่น 0%, 23.6%, 38.2%, 50%, 61.8%, 100%) เพื่อระบุแนวรับและแนวต้านที่เป็นไปได้ของราคา
-เทรดเดอร์สามารถใช้ Fibonacci Retracement เพื่อระบุระดับที่ราคามีแนวโน้มในการแก้ไข หรือการถอนกลับ ซึ่งมักจะเป็นระดับที่เป็นที่น่าสนใจสำหรับการเข้าซื้อหรือขาย
ข้อดีของ Fibonacci Retracement
-ช่วยในการระบุระดับที่ราคามีแนวโน้มที่จะถอนกลับหรือพับตัวเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงในตลาด
-เครื่องมือทางเทคนิคนี้ใช้ค่าทางคณิตศาสตร์ที่สามารถใช้ในการวาดเส้นได้อย่างง่ายดาย
ข้อเสียของ Fibonacci Retracement
-การใช้ Fibonacci Retracement อาจต้องใช้ประสบการณ์และการศึกษาเพิ่มเติมในการระบุระดับที่แม่นย่ำ
9.Hedging การป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราในอนาคต
กลยุทธ์ทางการเงินที่ใช้เพื่อลดความเสี่ยงของการลงทุนโดยการทำการซื้อขายที่สามารถป้องกันตัวจากความเสี่ยงที่เป็นไปได้
หลักการทำงานของ Hedging
-เป็นการทำการซื้อขายที่สามารถลดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของราคาหรือสภาวะตลาดที่ไม่คาดคิด
-สามารถใช้ได้กับเครื่องมือการเงิน เช่น การซื้อหรือขายอนุพันธ์ (derivatives) และ อนุพันธ์ทางการเงินอื่น ๆ
ข้อดีของ Hedging
-ช่วยลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของราคา
-ช่วยให้นักลงทุนมีความมั่นใจในการลงทุนโดยลดความกังวลจากความเสี่ยงของการเปลี่ยนแปลง
ข้อเสียของ Hedging
-การ Hedging อาจจะไม่ได้ผลต่อความเสี่ยงทั้งหมด
10.Price Action Trading การซื้อขายโดยใช้ข้อมูลการเคลื่อนไหวของราคาและแผนภาพเทียนเทียนในการตัดสินใจ
กลยุทธ์การซื้อขายในตลาดทางการเงินที่ใช้การเคลื่อนไหวของราคาเป็นพื้นฐานในการตัดสินใจการซื้อหรือขาย
หลักการทำงานของ Price Action Trading
-ใช้กราฟราคาและแท่งเทียนเพื่อระบุแนวโน้มของราคา
-ต้องใช้ความเข้าใจเกี่ยวกับตลาด เช่น แนวรับและแนวต้าน แนวโน้มราคา เป็นส่วนสำคัญในการวิเคราะห์ Price Action
ข้อดีของ Price Action Trading
-Price Action ช่วยในการดูและติดตามแนวโน้มของตลาด ทำให้ผู้ซื้อขายมีความเข้าใจเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมของตลาดมากขึ้น
ข้อเสียของ Price Action Trading
-การวิเคราะห์ Price Action อาจต้องใช้ความชำนาญและประสบการณ์ในการอ่านและตีความหมาย
11.Technical Analysis Strategies การวิเคราะห์แผนภาพและตัวชี้วัดเทคนิคเพื่อทำนายแนวโน้มของตลาด
เป็นวิธีการวิเคราะห์ตลาดการเงินโดยใช้ข้อมูลทางเทคนิคเพื่อทำนายแนวโน้มของราคาในอนาคต โดยทั้งหมดนี้จะเกี่ยวข้องกับการวิเคราะห์ข้อมูลราคาและปริมาณการซื้อขาย รวมถึงการใช้เครื่องมือทางเทคนิคต่าง ๆ เช่น
-แท่งเทียน (Candlestick Charts) ดูแนวโน้มของราคาและการเคลื่อนไหวของตลาดในแต่ละช่วงเวลา
-เส้นทางการเคลื่อนไหวเฉลี่ย (Moving Averages) ระบุแนวโน้มของราคาและจุดเข้า-ออกตลาด
-การวิเคราะห์แนวรับและแนวต้าน (Support and Resistance) ระบุระดับที่ราคามักจะหยุดหรือเปลี่ยนทิศทาง
-แบบจำลองกราฟิก (Chart Patterns) ระบุรูปแบบของแผนภูมิที่อาจสร้างสัญญาณเข้า-ออกตลาด
-ตัวชี้วัดทางเทคนิค (Technical Indicators) ใช้ในการวิเคราะห์ตลาด เช่น RSI, Stochastic, MACD และอื่น ๆ
-การวิเคราะห์ปริมาณ (Volume Analysis) ใช้ข้อมูลปริมาณการซื้อขายเพื่อพิจารณาแนวโน้มของตลาด
ข้อดีของกลยุทธ์การวิเคราะห์ทางเทคนิค
-ช่วยในการระบุจุดเข้า-ออกตลาดโดยใช้ข้อมูลทางเทคนิคที่มีรูปแบบชัดเจน
-ช่วยในการกำหนดกฎการซื้อขายที่มีมาตรฐาน จากการใช้ตัวชี้วัดเทคนิคต่าง ๆ สร้างสัญญาณเข้า-ออกในตลาด
ข้อเสียของกลยุทธ์การวิเคราะห์ทางเทคนิค
-การใช้เครื่องมือเทคนิคมีความซับซ้อน ต้องอาศัยความเข้าใจทางทฤษฎีอย่างละเอียด
-แม้ว่าเครื่องมือเทคนิคจะช่วยในการวิเคราะห์ แต่ก็ไม่สามารถทำนายตลาดได้ทุกครั้งเสมอไป
12.Fundamental Analysis Strategies การศึกษาปัจจัยเศรษฐกิจและข่าวสารเพื่อทำนายการเคลื่อนไหวของตลาด
เป็นวิธีการในการศึกษาและประเมินข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยพื้นฐานของตลาดเพื่อทำการวิเคราะห์และตัดสินใจในการลงทุน โดยใช้ข้อมูลเกี่ยวกับปัจจัยเศรษฐกิจ, การเงิน, นโยบายของบริษัท และปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อราคาหุ้นหรือตลาดการเงินโดยตรง เช่น
-การวิเคราะห์การเงิน (Financial Analysis) เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลการเงินของบริษัท เช่น รายได้, กำไรสุทธิ, การเงิน, และอัตราผลตอบแทนเพื่อวิเคราะห์ความสมบูรณ์ของธุรกิจ
-การวิเคราะห์เศรษฐกิจ (Economic Analysis) วิเคราะห์สถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศ และปัจจัยที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงในตลาดการเงิน เช่น อัตราเงินเฟ้อ, การผันผวนในการเงิน, การบริหารเศรษฐกิจและอื่น ๆ
-การวิเคราะห์ตลาดและอุตสาหกรรม (Market and Industry Analysis) ศึกษาสถานะและแนวโน้มของตลาดที่เฉพาะเจาะจงหรืออุตสาหกรรมที่ส่งผลโดยตรงต่อสินทรัพย์ที่ลงทุน
-ข่าวสารและเหตุการณ์ปัจจัยที่ส่งผล (News Analysis) การติดตามข่าวสาร, กิจกรรม, และเหตุการณ์ที่ส่งผลต่อตลาดการเงิน เช่น นโยบายการเงินของธนาคารกลาง, เหตุการณ์ทางการเมือง, และเหตุการณ์ทางสังคมที่ส่งผลต่อตลาด
ข้อดีของ Fundamental Analysis Strategies
-ได้ข้อมูลที่มีประสิทธิภาพในการวิเคราะห์
-สามารถระบุค่าคาดการณ์และการเปรียบเทียบข้อมูลในเชิงระยะยาว
ข้อเสียของ Fundamental Analysis Strategies
-วิเคราะห์ข้อมูลทางเศรษฐกิจและการเงินอาจซับซ้อนและต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจ
-บางครั้งข้อมูลที่เป็นพื้นฐานก็มีความไม่แน่นอนทำให้การวิเคราะห์ยากขึ้น
การซื้อขายอนุพันธ์มีความเสี่ยงสูงและอาจไม่เหมาะสําหรับทุกคน