Drawdown (DD) เรื่องควรรู้ ที่เทรดเดอร์ไม่อยากเจอ!
ในทุกๆ การซื้อขาย กฎสำคัญที่จะเทรดให้ประสบความสำเร็จ คือการควบคุมการขาดทุนในการเทรด หรือที่เรียกกันว่า การจัดการ Drawdown เป็นการจัดการการลดลงของเงินทุนในการเทรดก่อนที่การขาดทุนจะถูกตัดเป็นผลกำไร เทรดเดอร์หลายๆ ท่านมักจะตรวจสอบสถานะการซื้อขายและพอร์ตโฟลิโอของตนอย่างสม่ำเสมอ Drawdown เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่จะช่วยป้องกันความเสี่ยงในการขาดทุนของนักเทรดได้
สำหรับบทความนี้ STARTRADER ทำการสรุป พร้อมเจาะลึกถึงประเด็นสำคัญ หลักการทำงานของ Drawdown และความสำคัญของ Drawdown ในการเทรด
Drawdown คืออะไร ?
Drawdown (DD) เป็น % ของจำนวนเงินขาดทุนสะสมในบัญชีและเป็นสิ่งสำคัญที่จะบ่งบอกถึงประสิทธิภาพการซื้อขายที่ผ่านมาของเทรดเดอร์ได้ สามารถดูได้จากความแตกต่างระหว่างจุดสูงสุดในบัญชีซื้อขายของคุณ กับจุดต่ำสุดในยอดคงเหลือในบัญชีของคุณ % ของ Drawdown ไม่ควรเกิน 30% เพื่อที่จะง่ายต่อการกลับมาเติบโตของพอร์ตได้อีกครั้ง ถ้ามากกว่านี้มีโอกาสเสี่ยงที่พอร์ตจะแตก
ตัวอย่างการ Drawdown เช่น
เทรดเดอร์ฝากเงินเข้าบัญชีซื้อขาย 10,000 USD หลังจากการเทรดที่ขาดทุนติดต่อกัน 5 ครั้ง ยอดเงินในบัญชีจะตกลงไปที่ 9,000 USD การลดจากจุดสูงสุดจนถึงต่ำสุดจาก USD 10,000 เป็น USD 9,000 แสดงถึงการลดลง 10%
การคำนวณ Drawdown สามารถทำได้ดังนี้
Drawdown = ((Balance – Equity) / Balance ) * 100
การขาดทุนจะเกิดขึ้นเมื่อคุณเข้าออเดอร์ Buy แล้วราคาปิดต่ำกว่าราคาที่เข้า หรือเมื่อคุณเข้าออเดอร์ Sell แล้วราคาปิดสูงกว่าราคาที่เข้า เทรดเดอร์ต้องรวมตำแหน่ง (Position) ที่ได้กำไรและตำแหน่งที่ขาดทุน เพื่อกำหนดว่าจุดต่ำสุดของพอร์ตจะอยู่จุดไหน ถ้าหากเปอร์เซนต์ของ Drawdown เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เทรดเดอร์อาจจะต้องทำกำไรมากขึ้นเท่าตัว เพื่อที่จะให้ทุนกลับมาเท่าเดิม อย่างเช่น
วิธีการคำนวณหา % ที่ต้องทำกำไรคืน
% ที่ต้องทำกำไรคืน = ( loss / (100 – loss ) x 100)
ตัวอย่างเช่น
% Drawdown ที่เทรดเดอร์เสียไป ตอนนี้ 60% จะหาว่า % ที่ต้องทำกำไรคืน ต้องมีกี่เปอร์เซ็นต์ได้ด้วยวิธี 60 / (100 – 60) x 100 = 150.0%
ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องควบคุม drawdown เพราะยิ่งลดลงมากเท่าไหร่ การกู้คืนของพอร์ตจะยากขึ้นเท่านั้น จำนวนเงินที่คุณต้องใช้เพื่อให้กลับสู่จุดคุ้มทุนจะมากกว่า drawdown ของคุณเสมอ
เทรดเดอร์ที่เทรดด้วย Expert advisor หรือ Copy Trade สามารถดู % Drawdown ได้ผ่านระบบเทรด MT4 / MT5 ได้จากส่วนของ Report เทรดเดอร์จะสามารถทราบได้ทั้ง absolute drawdown, Maximum drawdown, Relative drawdown ยิ่งมี Maximum drawdown ต่ำเท่าไร ถือเป็นสัญญาณที่ดีต่อระบบเทรด
ประเภทของ Drawdown มีอยู่ 3 ประเภทได้แก่
Absolute drawdown คือผลขาดทุนมากที่สุดที่เคยเกิดขึ้นนับจากเงินทุนเริ่มต้น (deposit) ตัวเลขนี้ระบุจำนวนเงินสูงสุดที่คุณสามารถสูญเสียได้เมื่อเทียบกับเงินฝากเริ่มต้น
Relative Drawdown คือ จุดขาดทุนต่อเนื่องสูงสุด ณ จุดๆหนึ่งของ balance การขาดทุนสะสมจะแสดงให้เห็นว่านักเทรดเหล่านี้สามารถเสี่ยงได้มากน้อยเพียงใด
Maximum Drawdown คือ จุดขาดทุนต่อเนื่องสูงสุด นับจากผลต่างระหว่างจุดสูงสุดและจุดต่ำสุด ซึ่งไม่ควรเกิน 20 %
ความสำคัญของ Drawdown ตัวตัดสินผลกำไรในการเทรด
Drawdown จะเป็นสัญญาณเตือนถึงการขาดทุนในการเทรด ดังนั้นการเข้าใจถึง Drawdown จะช่วยให้เทรดเดอร์ทราบว่าควรหยุดเทรดในตอนไหน หรือทำการวางแผนการเทรดใหม่เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่พอร์ตจะแตก สังเกตได้จาดการที่เปอร์เซ็นต์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็นสัญญาณที่บอกว่าการเทรดของคุณเริ่มมีปัญหา ดังนั้น เปอร์เซ็นต์ของ Drawdown จึงไม่ควรเกิน 20 – 30% เพื่อไม่ให้เสี่ยงในการเทรดจนเกินไป และก็เพื่อเป็นโอกาสในการกู้คืนพอร์ตได้ง่ายขึ้น
สาเหตุที่หลักๆ ที่ทำให้เกิดการ Drawdown คือการเทรดแบบไม่มีความรู้ ไม่มีแบบแผนของเทรดเดอร์ หรือไม่มี Money Management ที่ดี ก็อาจก่อให้เกิดการ Drawdown ที่สูงได้
วิธีการควบคุม Drawdown ไม่ให้พอร์ตแตก
– หลีกเลี่ยงการใช้เลเวอเรจมากเกินไป
– ตั้งค่าลิมิตของ Drawdown เป็นรายสัปดาห์หรือรายเดือน ช่วยหลีกเลี่ยงการขาดทุนสะสมของเทรดเดอร์ได้ ถ้าเกินที่ตั้งลิมิตไว้ เทรดเดอร์ควรหยุดการซื้อขายแล้ววางแผนการเทรดใหม่
– ซื้อขายด้วยขนาดที่เล็ก ตามกำลังที่เทรดเดอร์สามารถรับได้กับการขาดทุนที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต
– กำหนดเป้าหมาย Reward to risk ratios ให้ชัดเจน และไม่ควรมีขนาดน้อยกว่า Stop Loss
– กำหนดจุด Stop-loss เป็นอีกทางในการป้องกันการขาดทุนจากการเทรด
– รู้จักการปิดตำแหน่งและหยุดพักการซื้อขาย เมื่อการเทรดมีแนวโน้มที่ไม่เป็นไปตามที่ตั้งเป้าไว้
การขาดทุนมักเกิดขึ้นได้ทุกเวลา ถือเป็นสิ่งที่เทรดเดอร์ในตลาด Forex หลีกเลี่ยงไม่ได้ ค่า Drawdown จะเป็นเครื่องมือที่บ่งบอกถึงประสิทธิภาพของพอร์ตเทรดเดอร์ได้เป็นอย่างดี การเพิ่มขึ้นของ Drawdown คือการขาดทุนที่มากขึ้น เป็นสัญญาณที่บอกให้เทรดเดอร์ควรหยุดการซื้อขาย แล้วหันมาวางแผนให้รอบคอบอีกครั้ง นอกจากนี้ อีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ผู้เทรดก็ควรมี ก็คือ Money management ที่ดี จะเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่ช่วยป้องกันความเสี่ยงจากการขาดทุนที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อเช่นกัน
*การซื้อขายและลงทุนใน Forex และ CFD มีความเสี่ยงสูง อาจทำให้สูญเสียมากกว่าเงินทุนทั้งหมด